อี๊ด ฟุตบาท ศิลปินตัวจริง
คนที่สนใจการวาดภาพหรือภาพเขียนจะต้องรู้จัก วินเซนต์ แวนโก๊ะ จิตกรชาวฮอลแลนแนว Impressionism เป็นภาพวาดที่ต้องใช้ความชำนาญสูงเพื่อที่จะเก็บภาพบรรยากาศในขณะนั้นให้ได้คล้ายกับการถ่ายภาพในปัจจุบัน ในสมัยนั้นยังไม่มีกล้องถ่ายรูป แวนโก๊ะ ไม่เคยขายภาพวาดของตนเองได้เลยในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ ทำได้เพียงเอาภาพวาดไปแลกอาหารประทังชีวิตให้รอดไปได้ในวันนั้น แต่หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว 97ปี ภาพวาดดอกทานตะวันมีมูลค่า 40ล้านเหรียญสหรัฐ หรืออย่าง เซบาสเตียน บาค คีตกวีชาวเยอรมัน ผลงานของเขามามีชื่อเสียงเมื่อเขาเสียชีวิตไปแล้ว 100ปี อาจารย์เฉลิมชัย โฆสิษพิพัฒน์ บอกว่าศิลปินจะทำงานล้ำหน้าไปก่อนยุคสมัยเสมอ แล้วประชาชนจะมาเข้าใจงานของศิลปินได้หลังจากถึงเวลาของมัน
อี๊ด ฟุตบาท มีพ่อเป็นข้าราชการที่หวังจะให้ลูกได้มีหน้าที่การงานดีเหมือนตนเอง แต่เมื่อรู้ว่าลูกชอบอะไรก็ไม่ได้พยายามจะบังคับให้ลูกต้องไปในทางที่ตนเองต้องการและได้พาลูกจากจังหวัดนครพนมเข้ามาเรียนช่างศิลป์ที่กรุงเทพ แม้กระนั้นพ่อก็ไม่เคยพอใจในสิ่งที่ลูกทำ เขาเขียนการ์ตูนเล่มละบาทเพื่อหารายได้ช่วยพ่อแม่ และได้เขียนหนังสือแบบเรียนประกอบภาพที่ได้รางวัลระดับประเทศมาหลายเล่ม ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รักลูก อี๊ด ได้กีตาร์ยี่ห้อ JoJo จากพ่อในราคา 150บาท จากเงินเดือนพ่อเพียง 450บาทต่อเดือนในสมัยนั้นแสดงให้เห็นถึงความรักของพ่อที่มีต่อลูกแม้ว่าลูกจะไม่ได้เป็นอยากที่ตนเองปรารถนาก็ตาม
เขาวาดภาพและเล่นดนตรีเปิดหมวกที่สนามหลวงเพื่อหารายได้เลี้ยงชีวิต จนมีลูกผู้หญิงสองคนที่นอนในกล่องกีต้าร์อันเดียวของพ่อ ในขณะที่ลูกคนเล็กอายุเพียงหกเดือน คนโตสองขวบ ชีวิตเหมือนนิยายมีบางวันที่ลูกสาวของเขาเล่าว่าไม่มีข้าวจะกิน พ่อพาไปเก็บดอกแคเพื่อเอามาทำอาหารโดยพาลูกไปด้วยและทำมันให้เป็นเรื่องสนุก ไม่ว่าจะขัดสนอย่างไรเขาพยายามส่งเสียลูกสาวทั้งสองคนให้เรียบจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยมหิดลและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิชาเอกไวโอลินและเชลโล
พรสวรรค์ของคุณอี๊ดแสดงให้เห็นในภาพวาดแบบ portrait (ภาพวาดหน้าคน) ภาพวาดดูธรรมดา ลายเส้นสวยงามแต่ทำให้เรามีอารมณ์ร่วมไปกับภาพได้ด้วยเรื่องราวชีวิตของเขา พรสวรรค์ทางดนตรีส่งมาถึงลูกทั้งสองคน ดูจากการเล่นไวโอลินและเชลโลที่แสดงถึงการฝึกฝนหนักจนเกิดความชำนาญทำให้เล่นตัวโน๊ตได้อย่างแม่นยำไม่มีเสียงเพี้ยนเลย และสำเนียงการสีเครื่องดนตรีทั้งสองชิ้นของลูกสาวสองคนไพเราะมากอย่างที่ไม่ใช่ใครๆ ก็จะสีได้สำเนียงแบบนี้ และลูกทั้งสองได้เคยประกวดวงออเคสตร้าชนะอันดับหนึ่งมาแล้วที่ประเทศเยอรมันในช่วงที่เรียนดนตรีในมหาวิทยาลัย
พิธีกรถามลูกสาวว่า รู้สึกชีวิตลำบากมากหรือป่าว ลูกสาวบอกว่า ชิวิตมันก็มีความลำบากแต่ด้วยความเป็นศิลปินของพ่อที่ทำให้ทุกเรื่องเป็นเรื่องสนุกจึงทำให้ชีวิตมีความสุขไปกับดนตรี
สิ่งที่ศิลปินจะมีคล้ายๆ กันคือ พวกเขาเชื่อมั่นในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่และเชื่อว่าจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในอนาคตได้แม้ว่าในขณะนั้นเขาจะต้องอดมื้อกินมื้อก็ตาม
ถ้าเรารักดนตรี ดนตรีก็จะรักเรา
By LU KK
-บรรเลงคู่ (Duet) ไวโอลิน-เชลโล - https://www.youtube.com/watch?v=VwdcwLNOPKs
5.1 Moving
Electronica
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น