5 เหตุผลทำให้คุณเปลี่ยนใจมากินปลา
1. โอเมก้า - 3 ในปลา
โอเมก้า-3 คือกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดดีที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ร่างกายไม่สามารถผลิตกรดไขมันชนิดนี้ได้ จึงต้องได้รับจากการบริโภคอาหาร โอเมก้า-3 เป็นกรดไขมันที่มีอยู่ในน้ำมันปลา มีกรดไขมันสำคัญ 2 ชนิด ประกอบอยู่คือ EFA (Eicosapantaenoic Acid) และ DHA (Docosahexanoic Acid) กรดไขมันทั้ง 2 ชนิด มีคุณสมบัติช่วยให้เลือดแข็งช้าตัว ทำให้การเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือดลดลงป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน นอกจากนี้ยังลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดด้วย แหล่งสำคัญคือปลาทะเลทั้งหลาย อาทิ ปลาทูน่า , แซลมอน, แมคเคอเรล, ซาร์ดีน, และแอนโชวี ส่วนปลาที่เรากินกันบ่อยๆ อย่างปลาทู นั้นก็มีโอเมก้า-3 เช่นกัน
2.เผาผลาญไขมันได้เร็วขึ้น
ปลาเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากลดน้ำหนักด้วย มีการค้นพบว่า ปลาอาจช่วยให้ร่างกายคุณเผาผลาญไขมันได้เร็วขึ้น โดยวารสารอาหารแห่งหนึ่ง ทำการสำรวจกับอาสาสมัครน้ำหนักเกินที่ทำการไดเทตแล้วพบว่าครึ่งหนึ่ง่ของอาสาสมัครที่กินน้ำมันปลาเสริม สามารถลดไขมันลงได้มากกว่าอีกกลุ่ม ดังนั้นนักค้นคว้าจึงเชื่อว่ากรดไขมันโอเมก้า-3 ในน้ำมันปลากระตุ้นยีนส์ทำให้ไขมันแตกตัว แม้ยังไม่มีการยืนยันเป็นมั่นเหมาะ เพราะต้องทำการทดสอบต่อไปอีก แต่ระหว่างนี้กินปลาไปด้วยก็คงไม่เสียหายนี่นา
3. สุขภาพดี เพราะมีหัวใจแข็งแรง
โรคหัวใจเป็นโรคที่ทำให้คนเสียชีวิตมากเป็นอันดับต้นๆ เลยทีเดียว ดังนั้นคุณอยากมีหัวใจแข็งแรงมั้ยล่ะ ก็ต้องหมั่นออกกำลังกาย เลี่ยงไขมันอิ่มตัว เลิกบุหรี่ ไม่เครียด และกินอาหารที่มีโอเมก้า-3 สูง นักโภชนาการแนะนำว่าควรบริโภคปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งรวมปลามีน้ำมันด้วย (Fish oil) โอเมก้า-3 ลดความเสี่ยงโรคหัวใจด้วยการลดการอุดตันเส้นเลือด ทำให้ความยืดหยุ่นมากขึ้น และลดความดันโลหิตด้วย โอเมก้า -3 นี้เกี่ยวพันกับเรื่องสุขภาพมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ตอนที่กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ด้านโภชนาการทำการเปรียบเทียบชาวสแกนดิเนเวียน เอสกิโม แล้วพบว่าทั้งหมดเป็นโรคหัวใจ มะเร็ง และไขข้อน้อยมาก ซึ่งเป็นเพราะโภชนาการอาหารที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า -3 จากการบริโภคปลาอย่างเป็นล่ำเป็นสันนี่เอง
4. สดใสปิ๊งปั๊ง
สมัยนี้เมื่อพูดถึงเรื่องความสวยหรือริ้วรอยเหี่ยวย่นแล้วล่ะก็ เรามักจะพูดกันถึงเรื่องของคอลลาเจนบ่อยๆ นั่นเพราะคอลลาเจน คือ โปรตีนชนิดหนึ่ง ที่อยู่ใต้ชั้นหนังแท้เป็นโปรตีนแห่งความสวย ซึ่งมีปริมาณ 1 ใน 3 ของโปรตีนในร่างกาย มีหน้าที่เสริมความเรียบตึงของผิวหนัง ทำให้แข็งแรง เรียบเนียน ซึ่งจะอยู่คู่กับโปรตีนอีกชนิดคือ "อิลาสติน" ในขณะที่คอลลาเจนมีหน้าที่เสมือนโครงสร้างของผิว และทำให้ผิวเต่งตึง อิลาสตินจะมีหน้าที่สร้างความยืดหยุ่นให้ผิว ทำให้ผิวไม่มีริ้วรอย เมื่อถึงวัยที่มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉลี่ยอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ร่างกายจะลดการผลิตคอลลาเจนลง ความเสื่อมของคอลลาเจนจึงมีมากขึ้นตามอายุ โดยสังเกตได้ว่า ผิวเริ่มเหี่ยวย่น มีริ้วรอยต่างๆ อวัยวะภายในร่างกายเริ่มเสื่อม ผิวพรรณแห้ง ขาดความชุ่มชื้น ดังนั้นเราจึงต้องรักษาสภาพผิวให้ดี การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยชะลอความเสื่อมของผิวได้ โดยสามารถเลือกรับประทาน ผัก ผลไม้ หรืออาหารที่มีวิตามินซีสูง นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า การรับประทานคอลลาเจนที่สกัดจากปลาอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น และมีความยืดหยุ่นอีกด้วย
5. พัฒนาเซลล์สมอง
โอเมก้า-3 ชนิด DHA เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเซลล์สมอง และดวงตาของเด็กทารก โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนก่อนคลอด การขาดกรดชนิดนี้จะมีความสัมพันธ์กับโรคสมาธิสั้น และการเรียนรู้ ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์ควรบริโภคปลาเช่นกัน ส่วนความสำคัญของโอเมก้า-3 ในผู้ใหญ่และคนสูงอายุ คือจะช่วยลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด และเพิ่มระดับไขมันชนิดดี ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดได้ ลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ที่ทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ยากขึ้น ช่วยลดความดันโลหิตได้เล็กน้อย ลดอุบัติการของโรคหลอดเลือดหัวใจ ผลจากการลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด จึงสามารถป้องกันโรคความจำเสื่อม แก้ปัญหาโรคอัลไซเมอร์เมื่ออายุมากขึ้น
http://clg500.exteen.com/20091125/entry
อันตรายจากการกินเนื้อสัตว์
๑. เลือดและเนื้อของสัตว์เป็นพิษ ก่อนที่สัตว์จะถูกฆ่าโดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ ๆ ซึ่งมีจิตสำนึกค่อนข้างสูงเช่น วัว ควาย หมู สัตว์เหล่านี้จะเกิดความกลัวสุดขีดและพยายามต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ในช่วงเวลานั้นชีวะเคมีในตัวสัตว์จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายเกิดขึ้น ฮอร์โมนที่เป็นพิษจำนวนมากจะถูกขับออกมาโดยเฉพาะสารแอดรีนาลิน พิษของฮอร์โมนนี้จะแพร่กระจายแทรกซึมเข้าไปในเลือดและเนื้อทุกส่วน แม้ว่าสัตว์นั้นจะตายไปแล้ว แต่พิษนั้นก็ยังคงอยู่ต่อไป
สารแอดรีนาลินนี้สามารถพบได้ในร่างกายของคนเราด้วยเช่นกัน มันจะหลั่งออกมามากในขณะที่บุคคลผู้นั้นเกิดอารมณ์โกรธเกลียด เครียดแค้น หรือตกใจกลัวสุดขีด เพราะฉะนั้นคนที่อารมณ์รุนแรงและตึงเครียด โมโหร้าย เจ้าอารมณ์ มักมีสุขภาพร่างกายไม่ดี ใบหน้าหมองคล้ำ ป่วยเป็นโรคต่าง ๆ เสมอ แก่เกินวัยและตายเร็ว ตรงกันข้ามกับคนที่มีจิตใจดี อารมณ์ดี จะมีใบหน้าสดใส ร่าเริง แก่ช้า อายุยืน และสุขภาพอนามัยดี
๒. สารเคมีในเนื้อ นับตั้งแต่สัตว์ถูกฆ่า ตัดชำแหละเป็นชิ้น ๆ แยกประเภทนำบรรจุเข้าตู้แช่แล้วขนส่งไปยังตลาดจำหน่าย เนื้อสัตว์ต้องตกค้างอยู่เป็นเวลาหลายวันเพื่อรอผู้บริโภคมาซื้อไป กว่าจะถูกปรุงเสร็จเป็นอาหารก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ตามธรรมดาเนื้อสัตว์จะคงความสดอยู่ได้ไม่นานก็จะแปรสภาพ สีจะกลายเป็นสีเทาอมเขียว ดังนั้นในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์จึงมีการใช้สารเคมีช่วยยืดอายุการเน่าเสีย และเจือสารรักษาสีให้เนื้อมีสีแดงดูสดนาน สารเคมีเหล่านี้ทางการแพทย์พบว่าเป็นตัวการทำให้เกิดโรคมะเร็งขึ้นได้
๓. โรคจากสัตว์ มนุษย์มีความรู้เรื่องสุขอนามัย แต่ก็ยังคงเจ็บป่วยเป็นโรคได้ สัตว์เลี้ยงต่าง ๆ หากินคลุกคลีอยู่กับพื้นดินกินอาหารไม่เลือกจึงมักติดเชื้อและเป็นโรคต่าง ๆ เสมอ ในชนบทเมื่อหมู ไก่ วัว สัตว์เลี้ยงตายลงก็จึงนำไปปรุงอาหารโดยไม่อาจรู้ได้เลยว่าสัตว์นั้นตายด้วยโรคอะไร เชื้อโรคบางชนิดไม่อาจถูกทำลายด้วยความร้อน ผู้บริโภคจึงได้รับเชื้อโรคจากสัตว์ที่ป่วยนั้นเข้าไปโดยตรง
๔.การเน่าเสียเร็ว ในทันทีที่สัตว์ตายลง ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย สารโปรตีนในตัวสัตว์จะจับกันเป็นก้อนพร้อมกับปล่อยเอ็นไซม์ที่มีพิษออกมาทำให้เนื้อเน่าเสียอย่างรวดเร็ว ต่างไปจากพวกพืชผักซึ่งมีโครงสร้างของผนังเซลล์ ไม่สลับซับซ้อนมีความมั่นคงทำให้ขบวนการเน่าเสียเป็นไปอย่างช้ามาก
๕. การขับถ่ายไม่สะดวก เนื้อสัตว์เป็นอาหารที่ไม่ค่อยมีกากหรือเส้นใย ทำให้เคลื่อนตัวไปตามทางเดินอาหารได้ช้ากว่าอาหารประเภทพืชผักถึง ๔ เท่า อาหารเนื้อใช้เวลายาวนานมากกว่าจะถึงระบบขับถ่าย ในระหว่างการย่อยที่ยาวนาน กากอาหารจะถูกดูดเอาน้ำไปมากทำให้ผู้ที่นิยมรับประทานแต่อาหารเนื้อมีอุจจาระแข็ง แห้ง ถ่ายลำบาก มักป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับระบบขับถ่ายหลายอย่าง เช่น โรคท้องผูกเรื้อรัง โรคริดสีดวงทวาร เป็นต้น
---อ่านทั้งหมด
น้ำตาล…อันตรายที่แสนหวาน
เมื่อน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดมากเกินไป ร่างกายจะส่งไปเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน (Glycogen) และเก็บไว้ได้เป็นจำนวน 50 กรัม หากมากกว่านี้ ตับจะส่งกลับไปที่กระแสเลือดแล้วเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน เพื่อไปสะสมอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหว เช่น สะโพก หน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน แต่ถ้ายังคงกินน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันก็จะไปสะสมเพิ่มพูนอยู่ตามอวัยวะภายในต่าง ๆ เช่น หัวใจ ตับ ไต เป็นต้น
นอกจากนี้เมื่อน้ำตาลอยู่ในเลือดจะมีผลให้เลือดเหนียวข้นขึ้น เลือดจะไหลช้าลง และนำสารอาหารไปเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ช้าลง ประสิทธิภาพในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อจะลดลงทำให้เส้นเลือดฝอยตีบตันได้ง่าย และเกิดความเสื่อมกับอวัยวะต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น การกินอาหารรสหวานยังทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไปจนกลายเป็นสาเหตุของโรคอ้วนที่จะทำให้ปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกด้วย
สัญญาณเตือนภัย
สัญญาณเตือนว่าร่างกายได้รับอันตรายจากความหวานก็คือ น้ำหนักลดยาก อยากกินหวาน ถ้าไม่ได้กินจะรู้สึกหงุดหงิด มีผมหรือขนขึ้นในที่ที่ไม่ควร ผมร่วง มีสิวขึ้น ในรายที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปจะเกิดซีสต์ที่รังไข่ และประสบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความดันสูง นิ่ว ไต เบาหวาน เส้นเลือดหัวใจตีบ และไขมันแทรกในตับ นอกจากนี้ผู้ที่ชอบกินหวาน ผิวหนังจะมีสภาพเป็นกรดที่พร้อมจะให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ง่ายอีกด้วย
ในประเทสสหรัฐอเมริกาได้บัญญัติโรคที่ชื่อว่า Syndrome X ไว้เป็นกลุ่มอาการอย่างหนึ่งที่ประกอบด้วยโรค 4 โรค คือ เบาหวาน ความดัน หัวใจตีบ และอัมพาต ซึ่งทั้ง 4 โรคนี้มีสาเหตุร่วมกันคือ “ ความหวาน ”
ใช้น้ำตาลเทียมดีกว่าหรือไม่
น้ำตาลเทียม เช่น Aspartame หรือ Saccharin เป็นสารสังเคราะห์ที่ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล แต่ให้พลังงานหรือแคลอรี่ต่ำ จึงมักเป็นส่วนผสมอยู่ในอาหารชนิดไดเอต ซึ่งเป็นที่นิยมของผู้ที่อยากผอม นอกจากนี้ยังเป็นสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลที่แพทย์มักแนะนำให้ใช้ในรายที่เป็นเบาหวาน ซึ่งควรกินภายใต้การดูแลของแพทย์ เพราะผู้บริโภคบางรายมีอาการไมเกรน คลื่นเหียน ท้องร่วง และถ้าใช้ในระยะยาวอาจมีผลข้างเคียงที่ทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง สำหรับสารอาหารที่ให้รสหวาน ธรรมชาติและเหมาะจะใช้แทนน้ำตาลก็คือหญ้าหวาน (Stevia) ซึ่งเป็นสมุนไพรที่มีถิ่นกำเนิดในแถบบราซิล และมีการนำมาปลูกทางภาคเหนือของไทย วิธีใช้คือ นำใบที่ตากแห้งมาใส่ในอาหารแทนน้ำตาล ซึ่งจะให้รสชาติอาหารที่กลมกล่อมขึ้นด้วย แต่ไม่ควรใส่มากเพราะจะให้รสที่หวานมาก เนื่องจากในใบมีสารหวานที่หวานกว่าน้ำตาลทราย 250-300 เท่า แต่ไม่ทำให้อ้วน
อ่านต่อ
เมื่อน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดมากเกินไป ร่างกายจะส่งไปเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน (Glycogen) และเก็บไว้ได้เป็นจำนวน 50 กรัม หากมากกว่านี้ ตับจะส่งกลับไปที่กระแสเลือดแล้วเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน เพื่อไปสะสมอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหว เช่น สะโพก หน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน แต่ถ้ายังคงกินน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันก็จะไปสะสมเพิ่มพูนอยู่ตามอวัยวะภายในต่าง ๆ เช่น หัวใจ ตับ ไต เป็นต้น
นอกจากนี้เมื่อน้ำตาลอยู่ในเลือดจะมีผลให้เลือดเหนียวข้นขึ้น เลือดจะไหลช้าลง และนำสารอาหารไปเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ช้าลง ประสิทธิภาพในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อจะลดลงทำให้เส้นเลือดฝอยตีบตันได้ง่าย และเกิดความเสื่อมกับอวัยวะต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น การกินอาหารรสหวานยังทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไปจนกลายเป็นสาเหตุของโรคอ้วนที่จะทำให้ปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกด้วย
สัญญาณเตือนภัย
สัญญาณเตือนว่าร่างกายได้รับอันตรายจากความหวานก็คือ น้ำหนักลดยาก อยากกินหวาน ถ้าไม่ได้กินจะรู้สึกหงุดหงิด มีผมหรือขนขึ้นในที่ที่ไม่ควร ผมร่วง มีสิวขึ้น ในรายที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปจะเกิดซีสต์ที่รังไข่ และประสบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความดันสูง นิ่ว ไต เบาหวาน เส้นเลือดหัวใจตีบ และไขมันแทรกในตับ นอกจากนี้ผู้ที่ชอบกินหวาน ผิวหนังจะมีสภาพเป็นกรดที่พร้อมจะให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ง่ายอีกด้วย
ในประเทสสหรัฐอเมริกาได้บัญญัติโรคที่ชื่อว่า Syndrome X ไว้เป็นกลุ่มอาการอย่างหนึ่งที่ประกอบด้วยโรค 4 โรค คือ เบาหวาน ความดัน หัวใจตีบ และอัมพาต ซึ่งทั้ง 4 โรคนี้มีสาเหตุร่วมกันคือ “ ความหวาน ”
ใช้น้ำตาลเทียมดีกว่าหรือไม่
น้ำตาลเทียม เช่น Aspartame หรือ Saccharin เป็นสารสังเคราะห์ที่ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล แต่ให้พลังงานหรือแคลอรี่ต่ำ จึงมักเป็นส่วนผสมอยู่ในอาหารชนิดไดเอต ซึ่งเป็นที่นิยมของผู้ที่อยากผอม นอกจากนี้ยังเป็นสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลที่แพทย์มักแนะนำให้ใช้ในรายที่เป็นเบาหวาน ซึ่งควรกินภายใต้การดูแลของแพทย์ เพราะผู้บริโภคบางรายมีอาการไมเกรน คลื่นเหียน ท้องร่วง และถ้าใช้ในระยะยาวอาจมีผลข้างเคียงที่ทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง สำหรับสารอาหารที่ให้รสหวาน ธรรมชาติและเหมาะจะใช้แทนน้ำตาลก็คือหญ้าหวาน (Stevia) ซึ่งเป็นสมุนไพรที่มีถิ่นกำเนิดในแถบบราซิล และมีการนำมาปลูกทางภาคเหนือของไทย วิธีใช้คือ นำใบที่ตากแห้งมาใส่ในอาหารแทนน้ำตาล ซึ่งจะให้รสชาติอาหารที่กลมกล่อมขึ้นด้วย แต่ไม่ควรใส่มากเพราะจะให้รสที่หวานมาก เนื่องจากในใบมีสารหวานที่หวานกว่าน้ำตาลทราย 250-300 เท่า แต่ไม่ทำให้อ้วน
อ่านต่อ
ปีกไก่ อันตรายจริงหรือ?!
ใครที่ชอบกินปีกไก่ แล้วได้รับอีเมลจั่ว หัวว่า “ปีกไก่มรณะ” โดยเฉพาะสาว ๆ คงตกใจ เพราะมีการให้ข้อมูลว่า ไก่ จะถูกฉีดฮอร์โมนเพื่อเร่งการเจริญเติบโต บริเวณ คอหรือปีก ซึ่งถ้ารับประทานจะมีผลข้างเคียงต่อ ร่างกายอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะผลต่อฮอร์โมนของ สตรี ที่นำไปสู่การเจริญเติบโตของซีสต์ ในมดลูกได้
ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า ไม่มีงานวิจัยที่ชี้ว่ากินปีกไก่แล้วทำให้เกิดซีสต์ที่รังไข่เลย แต่ซีสต์ที่รังไข่อาจ เกิดจากไก่ได้ทางอ้อม คือ กินหนังไก่จนอ้วนมากไป เพราะความอ้วนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิด “ซีสต์รังไข่”
ถ้าเป็นเมื่อ 10 ปีก่อน คือ ราวปี 2542 อาจจะจริง เพราะการฉีดฮอร์โมนนี้นิยมฉีดที่ปีกกับคอไก่ แต่ เดี๋ยวนี้มีข้อตกลงระหว่างประเทศที่ไม่ให้ใช้ฮอร์โมนเร่งฉีดในไก่แล้ว จากการสอบถามสัตวแพทย์บอกว่า ฟาร์มไก่เกือบ 100 เปอร์ เซ็นต์ไม่ใช้ฮอร์โมนแล้ว ไม่ว่า จะแบบฉีดหรือฝังใต้หงอน พูดง่าย ๆ ว่าคนที่กินไก่หลัง พ.ศ. 2542 น่าจะสบายใจได้เรื่องฮอร์โมน อีกทั้งฮอร์โมนแพงมาก ไก่เดี๋ยวนี้เลี้ยงกันราว 40-45 วัน คือให้สั้นที่สุดจะได้ไม่เปลือง ฉะนั้นเขา ไม่ลงทุนกับฮอร์โมนแพง ๆ เป็นแน่ ในยุคนี้ถ้า จะเร่งด้วยฮอร์โมนเขาจะใช้ฮอร์โมนจากธรรมชาติเช่น “กวาวเครือขาว” ที่มีสารคล้ายเอสโตรเจนอยู่ อย่างไรก็ดีอาจมีสารตกค้างจากอาหารที่เลี้ยงไก่บางอย่างแทน โดยสารพิษหรือยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนในอาหารไก่พอไก่กินเข้าไปจะละลายอยู่ตามไขมันในตัว โดยเฉพาะหนังไก่ คอไก่ ปลายปีกที่มีหนังเยอะ
บริเวณไหนของไก่ที่อันตรายน้อยที่สุด?
ส่วนที่เป็นอกดีที่สุดเพราะมีมันน้อย จะได้ไม่ต้องเสี่ยงกับยาพิษตกค้างที่มักละลายอยู่ในมันไก่ รองลงมา เป็นส่วนใดก็ได้ที่เป็นเนื้อล้วนมีมันแทรกน้อย เช่น น่องและตะโพก เพราะพวกสารเคมีเป็นพิษต่าง ๆ ถ้าจะปนในไก่มักจะปนในไขมัน ดังนั้นท่านที่ชอบทานหนังไก่ทอดร้อน ๆ หอมอร่อยต้องระวัง
การนำไก่มาปรุงอาหาร วิธีการปรุงที่ดีที่สุด คือ ปรุงแบบไม่ต้องใช้น้ำมัน เช่น ต้ม ย่าง นึ่ง มีเคล็ดอยู่บ้างตรงที่ถ้าต้มไก่ก็พยายามช้อนเปลวมันที่ลอยฟ่องอยู่ออกเป็นระยะจะได้ลดสารพิษลง ถ้าย่างก็ลอกหนังออกบ้างก่อนก็ดี เพราะมันจะมีสารก่อมะเร็งเยอะอยู่
กินเนื้อไก่บ่อย ๆ มีโทษหรือไม่?
ไม่มีปัญหา ยกเว้นถ้าเป็น “เกาต์” คงต้องระวัง เพียงแต่สลับกันกับเนื้อสีขาวอย่างอื่นด้วยก็จะดี ตามหลักของการกินให้หลากหลายเช่นสลับกับเนื้อปลา ไข่ขาว เต้าหู้บ้างก็ได้
เนื้อไก่อยู่ในกลุ่มเนื้อสีขาว (White meat) ถือเป็นโปรตีนย่อยง่าย ไขมันน้อย โดยเฉพาะเนื้อไก่งวงที่กระด้างเหมือนกระดาษ ถ้าเทียบกับเนื้อวัวเนื้อหมูแล้วเนื้อไก่ก่อให้เกิด “ภูมิแพ้” น้อยกว่า ถ้าใครเป็นภูมิแพ้เรื้อรังไม่หายหรือ เด็ก ๆ มีภูมิแพ้เรื้อรัง เปลี่ยนมากินเนื้อไก่แทนเนื้อวัวก็ดี
เนื้อไก่ไม่ค่อยทำให้แพ้ง่าย เพราะกรดอะมิโนในเนื้อไม่ค่อยมากหน้าหลายตาเท่าเนื้อวัว ถึงขนาด รพ. ศิริราช เอาเนื้ออกไก่มาบดทำเป็นน้ำเรียก “นมไก่” ให้เด็กภูมิแพ้กินแทน นมวัว
มีคนชอบพูดว่า กินไก่ที่เร่งฮอร์โมนแล้วทำให้เป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วจริงหรือไม่?
การเป็นหนุ่มสาวเร็วนี้ถือเป็นโรคอย่างหนึ่งเรียก “โรคหนุ่มสาวก่อนวัย” ซึ่งเหตุหนึ่งมาจากการที่มีมวลไขมันพอกตัวเยอะ ในเด็กที่ชอบกินไก่ทอดหรือหนังไก่จะทำให้มีโอกาสสูง อีกประการหนึ่งคือจากฮอร์โมนไก่ละลายเข้าในไขมันคน คือ ไก่ในยุคก่อนปี 2542 ยังมีการใช้ฮอร์โมนกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ฮอร์โมนเหล่านี้มักละลายในไขมันดี เด็กกินเข้าไปก็เก็บสะสมไว้ในไขมันกินบ่อยมากเข้า จึงมีส่วนทำให้เกิด “โรคหนุ่มสาวก่อนวัย” ได้
ท้ายนี้คงต้องบอกว่า ไก่ในปัจจุบันมีความปลอดภัย ฟาร์มต่าง ๆ ไม่ได้ใช้ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ดังนั้นจึงไม่ได้ทำให้เกิด “ซีสต์รังไข่” แต่ซีสต์ที่รังไข่อาจเกิดจากไก่ได้ทางอ้อม คือการ กินหนังไก่จนอ้วนมากนั่นเอง.
http://www.talkystory.com/
มะพร้าวและน้ำมันมะพร้าว
มะพร้าวเป็นแหล่งอาหารธรรมชาติของคนไทย ดังจะเห็นได้จากความแพร่หลายของการใช้กะทิและมะพร้าวขูดในการประกอบอาหารทั้งคาวและหวาน รวมทั้งการใช้น้ำมันมะพร้าวสำหรับทำอาหารและประโยชน์อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาหาร
ต้นไม้แห่งชีวิต มีแต่ดีและดีกับสุขภาพ
น้ำมันมะพร้าวไม่ทำให้โคเลสเตอรอลสูง ไม่ทำให้เสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ตรงกันข้ามจากการวิจัยพบว่า น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (virgin coconut oil) ช่วยลดโคเลสเตอรอลรวม LDL และเพิ่ม HDL ซึ่งดีกับสุขภาพของหัวใจ
มะพร้าวไม่ทำให้อ้วน แต่เป็นอาหารช่วยลดน้ำหนัก จากการวิจัยพบว่า กรดไขมันอิ่มตัวในมะพร้าวช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย
มะพร้าวต้านเชื้อโรคหลากหลายชนิด ทั้งไวรัส แบคทีเรีย โปรโตซัว และเชื้อโรคอื่นๆ ช่วยป้องกันโรคติดต่อต่างๆ แต่พิเศษกว่าที่มีคุณสมบัติต้านไวรัสเอชไอวีด้วย นักโภชนาการจึงเทียบค่ามะพร้าวเป็น functional food กล่าวคือ นอกจากเป็นอาหารแล้วยังมีสรรพคุณป้องกันและรักษาโรคได้
น้ำมันมะพร้าวบำรุงเส้นผม ให้อ่อนนุ่มเป็นเงางาม ช่วยรักษาผิวให้อ่อนเยาว์ด้วยการกำจัดเซลล์ผิวหนังตายที่ทับถมกันจนทำให้ผิวแห้ง รักษาโรคผิวหนัง อีกทั้งป้องกันรังแค
น้ำมันมะพร้าวในครัวไทย
คนไทยสมัยก่อน มักมีต้นมะพร้าวภายในบริเวณบ้านเพื่อเก็บผลมาใช้ทำอาหาร และใช้ส่วนอื่นๆของมะพร้าวให้เป็นประโยชน์กับการดำเนินชีวิต ดังที่เรียกขานกันว่ามะพร้าวคือ “ต้นไม้แห่งชีวิต” แทบทุกบ้านรู้จักนำเนื้อมะพร้าวที่เหลือมาคั้นกะทิและเคี่ยวเอาน้ำมันไว้ใช้ประโยชน์
ทางเลือกในการใช้น้ำมันมะพร้าวปรุงอาหาร
น้ำมันมะพร้าวสำหรับการบริโภคที่มีวางจำหน่ายในเมืองไทย แบ่งเป็นประเภท ดังนี้
1. น้ำมันมะพร้าวกลั่นจากโรงงาน (refined) หรือน้ำมันมะพร้าวที่ผ่านกรรมวิธี เป็นน้ำมันที่หีบจากมะพร้าวแห้ง แล้วผ่านกรรมวิธีกำจัดกรด ฟอกสี และกำจัดกลิ่น แต่ที่บรรจุขายในปี๊บ เป็นน้ำมันมะพร้าวผสมน้ำมันปาล์ม ในอัตราส่วน 1:1 หรือมากกว่า ส่วนน้ำมันมะพร้าว 100% มักนำส่งป้อนโรงงานผลิตไอศกรีม เครื่องสำอาง และสบู่ เป็นหลัก
2. น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (virgin coconut oil) ที่สกัดด้วยวิธีหมักกะทิให้ตกตะกอนแยกชั้นกาก ชั้นน้ำมัน และชั้นน้ำ แล้วตักเฉพาะน้ำมันมากรองบรรจุใส่ขวด สีน้ำมันจะใสขาว
3. น้ำมันมะพร้าวธรรมชาติแบบเคี่ยว เป็นวิธีการดั้งเดิมที่เคี่ยวหัวกะทิจนแตกมัน น้ำระเหยไปหมด เหลือเพียงน้ำมัน
http://www.horapa.com/
LU KK --- ถ้าเราสังเกตุฟันของเรา ถ้าเรากินเนื้อสัตว์ดิบๆ เราจะไม่สามารถเคี้ยวได้แน่ๆ เราไม่มีฟันที่คมและแข็งแรงเหมือนสัตว์กินเนื้อ เพราะเราเป็นสัตว์กินพืช ฉนั้นการกินเนื้อจึงไม่เหมาะกับร่างกายมนุษย์โดยธรรมชาติอยู่แล้ว และกระเพาะจะต้องทำงานหนักในการย่อย
จากข้อมูลข้างบน กินปลากับผักได้แค่นั้นเหรอ
คุณก็ใช้ชีวิตไปตามปกติครับ ถ้าอยู่หอ คุณต้องซื้ออาหารกินอยู่แล้ว อาหารบนห้างก็จะสะอาดกว่าอาหารข้างทาง การทำอาหารได้เองจะปลอดภัยและสะอาดที่สุด ลองผัดผักกินเองดูครับ ทำไม่ยาก ใช้กระทะไฟฟ้าก็ได้ ซุปข้าวโพด ซุปเห็ด แบบซองก็อร่อยดี ถ้าเบื่อมาม่า กับโจ๊กซอง ไข่นี่เราสามารถกินได้ทุกวันครับ ง่ายๆ แต่มีประโยชน์ มีพวกไส้กรอก แฮม ที่เป็นซองไว้ก็ดีครับ กินเป็นอาหารเช้า พร้อมไข่ดาวกับกาแฟได้
ลองเริ่มทำอาหารทานเองดูครับ เริ่มจากเมนูง่ายๆ เริ่มจากพวกอาหารซองก่อนก็ได้ และจะช่วยประหยัดรายจ่ายได้มากๆ เลยทีเดียว
ควรใช้กาต้มน้ำ มากกว่าที่จะต้มด้วยไมโครเวฟ น้ำตาลก็ใส่ให้น้อยลง กับกาแฟใช้น้ำตาลทรายแดงก็หอมกว่าและดีกว่าน้ำตาลทราย ผมก็จะลดการกินน้ำตาลเทียมลงแล้วหละ โรคเบาหวานอันตรายน้อยกว่าโรคมะเร็ง
รับประทานเนื้อหมู เนื้อวัวให้น้อยลง กินผักมากขึ้น เมนูปลาอร่อยๆ เยอะแยะ เพื่อนเล่าให้ฟังว่า คนกินเจ ตัวจะหอม เข้าใจว่าเธอจะมีกลิ่นตัวไม่แรงเหมือนคนกินเนื้อ ทำไงจะรู้ว่าหอมจริงป่าว....
ย้ายบ้าน - Dream Homes
AgeLoc Technology & Antioxidant
สารต้านอนุมูลอิสระและชลอความชรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น